ทำไมเราถึงมีความสุขเวลาทานของอ้วนๆ ?
ทำไมมันถึงยากมากสำหรับบางคนที่จะงดของอ้วนๆ มากกว่าอีกคน ?
ทำไมเวลาเราเหงา เศร้า เครียด เสียใจ เราถึงมักอยากทานช้อคโกแลต ไอติม เค้ก ชานมไข่มุก ฯลฯ ?
บางคนอาจบอกว่า เป็นผลมาจากวิธีการย่อยคาร์โบไฮเดรตประเภทนี้ ที่จะมีการปล่อยน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดในลักษณะที่พุ่งขึ้นสูงรวดเร็ว (และตกลงต่ำเร็ว) เป็นธรรมชาติที่ในช่วงที่น้ำตาลพุ่งขึ้นสูง เราจะรู้สึกมีความสุข มีแรง สดชื่น กระปรี้กระเปร่า อารมณ์ดี ฯลฯ เราเลยชอบทานของหวาน
แต่ บางคนเมื่อเหงา เศร้า เครียด เสียใจ เขาก็ไม่อยากของหวานนะคะ เขาอยากทานพิซซ่า ไก่ทอด ไส้กรอก เบคอน เนื้อย่าง ฯลฯ
ถ้าเรามองแค่แง่เดียวว่า “ถ้าร่างกายขาดสารอาหารอะไร เรามักจะมีแนวโน้มอยากทานอาหารที่มีสารอาหารเหล่านั้น” เราคงมีระบบบาลานซ์สารอาหารที่ยอดเยี่ยมมาก เราคงไม่มีไขมันส่วนเกิน ไม่มีใครเป็นเบาหวาน เพราะเมื่อเกินแล้ว ร่างกายก็ควรจะหยุดความอยากนั้นไป แต่เราทราบดีว่าในความเป็นจริง มันไม่ใช่แบบนั้น
เรายังคงอยากทานของหวานทั้งๆ ที่พลังงานพอแล้ว
เรายังคงอยากทานของทอดทั้งๆ ที่เราก็มีไขมันส่วนเกินพอกพูนที่หน้าท้อง
ทั้งๆ ที่ทุกอย่างก็พอ(จนเกิน)แล้ว ทำไมเราถึงยังอยากทานอยู่ล่ะ ?!?
คำตอบนึงที่วาวอยากชวนทุกคนมาคุยกันวันนี้คือ เราไม่ได้ทานอาหาร ตามแค่ที่ร่างกายต้องการเท่านั้น
เราทานอาหารตามที่จิตใจเราต้องการด้วยค่ะ
และสิ่งที่จะชวนทุกคนมาคุยวันนี้ คือเรื่องราวของ Food Relationship หรือความสัมพันธ์ที่เรามีกับอาหารค่ะ
เคยได้ยินมั้ยคะว่า ถ้าตอนเด็กๆ เราเคยสำลักอาหารอะไร เราจะเกลียดอาหารนั้นไปเลย
หรือ ตอนเด็กๆ ถ้าเราเคยถูกบังคับให้ทานอะไรบางอย่าง เราทั้งโดนดุ โดนตี ร้องไห้ แต่ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนทานเข้าไป พอโตขึ้นมาถึงวัยที่ไม่มีใครบังคับ เราก็มักจะเลี่ยงอาหารนั้นเสมอๆ
บางคนอาจจะเคยทานอาหารบางอย่างแล้วไม่สบาย ทั้งปวดท้อง อาเจียน อาหารเป็นพิษ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว เราไม่สบายเพราะอาหารไม่สะอาด ไม่ได้เกี่ยวกับอาหารเมนูนั้นๆ เลย แต่กลายเป็นว่าโตมา เราไม่ทานเมนูนั้นอีกเลย
หรือ ตอนเด็กๆ ถ้าเราทำสอบได้คะแนนดี ช่วยแม่เลี้ยงน้อง ทำงานบ้าน เป็นเด็กดี ไม่ซน แม่จะให้รางวัลเป็นไอติมแท่งโต พาไปเลือกขนมถุงๆ ที่อยากกิน ภาพแม่ยิ้มยื่นไอติมมาให้ ภาพเรากับพี่น้องทานขนมถุงๆ ด้วยกันระหว่างดูทีวีที่ทุกคนหัวเราะ ยิ้มแย้มพูดคุยกันเฮฮา ยังอยู่ในความทรงจำเสมอ
เราฉลองวันเกิด ที่มีทั้งพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอา มาร้องเพลงให้เราเป่าเทียนเค้กวันเกิด เราสนุกมากกก มีความสุขมากกก เป็นบรรยากาศที่คิดถึงทีไร ก็มีแต่รอยยิ้ม
ทั้งหมดที่วาวเล่ามา คือ Food Relationship ค่ะ
เราเอาความรู้สึก บรรยากาศ ภาพจำ ไปผูกไว้กับอาหาร ทำให้เรารู้สึกดีกับอาหารบางอย่าง รู้สึกอบอุ่น มีความสุขเมื่อได้ทาน เพราะมันพาเราย้อนกลับไปสู่บรรยากาศบางอย่างที่ดีในอดีต เราอิ่มเอมใจอย่างที่เราไม่รู้ตัว ในขณะที่บางอย่าง เรารู้สึกแย่ เป็นอดีตที่เราไม่อยากกลับไป เราจึงไม่อยากทาน ดังนั้น เราบางคนอาจมี relationship ที่ดีกับอาหารบางอย่าง และ relationship ที่แย่กับอาหารบางอย่าง แล้วเจ้า food relationship มันสำคัญอย่างไร ทำไมวาวถึงต้องมาเล่าให้ฟัง?
วาวเล่าเรื่องนี้เพราะ food relationship กลายมาเป็นอุปสรรคสำหรับบางคนในการดูแลสุขภาพค่ะ
ทำไมเขาถึงลดความอ้วนไม่ได้สักที ทำไมทุกครั้งที่เขาเศร้า เครียด เสียใจ (ซึ่งเป็นความรู้สึกธรรมดาที่ทุกคนต้องพบเจอ) เขาถึงหยุดตัวเองทานไอติมไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอ้วน และลดน้ำหนักอยู่
ในหลายๆ ครั้ง เราไม่ได้หิว แต่เราอยาก
และความอยากนั้นไม่ใช่ความอยากทางกายให้ทานแล้วอิ่ม แต่เป็นความอยากทางใจ
เราเสียใจ โดนแฟนทิ้ง เราเศร้ามาก เราอยากได้อ้อมกอดแม่ที่บอกว่าไม่เป็นไรนะ อยากได้ความอบอุ่น รอยยิ้มของครอบครัว แต่สิ่งที่ช่วยให้เราปลอบประโลมใจได้เร็วที่สุด คือไอติม 1 ควอทในช่องฟรีซ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พาเราย้อนกลับไปอยู่กับคนที่ไม่ทำร้ายเรา
เช่นเดียวกับช่วงที่เครียด งานมีปัญหา เราอยากย้อนกลับไปบรรยากาศสนุกสนานที่เรากับพี่วิ่งเล่นกินขนม ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ขนมถุงนั้น เป็นตัวเชื่อมเรากับอดีตที่เราเองยังไม่รู้เลย แต่เราทานแล้วเรารู้สึกโอเค
เราให้รางวัลกับวันที่เหนื่อยล้าเป็นเค้ก เหมือนกับที่พ่อเคยซื้อมาฝากตอนเราสอบได้คะแนนดี
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ วาวอยากให้เข้าใจว่า อาหารเป็นมากกว่าแค่สารอาหาร อาหารคือสิ่งที่เชื่อมโยงกับจิตใจ
ดังนั้นมันถึงยากมากสำหรับบางคนที่จะตัด จะงดของอ้วนๆ มากกว่าอีกคน เพราะเราไม่รู้เลยว่า background เขากับอาหารเหล่านี้ มันเป็นมาอย่างไรบ้าง ในแง่ของการทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านโภชนาการ วาวถึงไม่เคยบอกคนที่มาปรึกษาว่าให้ทานเมนูนั้น เมนูนี้เท่านั้นเพื่อลดความอ้วน เพราะทุกคนมีความชอบ ความไม่ชอบ มี food relationship ต่อสิ่งต่างๆ ที่ต่างกัน ทุกคนต้องหาแนวทางการทานอาหารที่ตอบโจทย์ของแต่ละคนที่ทำให้มีความสุข และดีต่อสุขภาพด้วยตัวเอง (แต่แน่นอนว่า วาวหรือที่ปรึกษาด้านโภชนาการของคุณจะช่วยคุณค้นหาไปด้วยกัน)
เมื่อเราเข้าใจว่า “สิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพในปัจจุบัน ผูกอยู่กับ ความสุขของเราในอดีต” เราจะมองเห็นภาพใหญ่ของชีวิตเราได้มากขึ้น และเลือกได้ว่า เราจะ “ประนีประนอม” กับความสุขจากเมนูที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพของเราในปัจจุบันอย่างไรได้บ้าง วาวใช้คำว่า ประนีประนอม เพราะวาวมองว่า คำตอบไม่ใช่การตัดอาหารที่ทำให้เรามีความสุขออกไป แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะประนีประนอมกับตัวเอง ทานในปริมาณที่เหมาะสม หรือเริ่มสร้าง relationship ใหม่กับอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แม้เรามีภาพจำในวัยเด็กที่ไม่ค่อยดีกับเมนูนั้นนัก
ที่สำคัญ วาวอยากให้เข้าใจว่า เรามีอิทธิพลต่อการสร้าง Food relationship ของเด็กๆ มาก
หลายคนในที่นี้เป็นพ่อเป็นแม่ มีลูก มีหลาน การสร้างประสบการณ์ที่ดี สอนให้เขารู้จักอาหารที่ดีต่อสุขภาพในแบบที่สนุก มีความสุข มีความอบอุ่น จะส่งผลต่อเขาไปอีกหลายสิบปีจนเขาเป็นผู้ใหญ่ เมนูโปรดที่แม่ทำให้ทานบ่อยๆ สามารถเป็นไก่ตุ๋นใส่มะเขือเทศ แครอท มันฝรั่ง หอมใหญ่หั่นเต๋าชิ้นเล็กๆ น่ารักๆ ซึ่งกลายมาเป็น comfort food (อาหารที่ปลอบประโลมใจ) ของเขาไปจนโต ในขณะที่บางบ้าน เมนูโปรดที่แม่มักทำให้ทาน คือไส้กรอกทอดจิ้มซอส ซึ่งกลายมาเป็น comfort food เช่นกัน เด็กสองบ้านนี้ ใครมีแนวโน้มที่จะโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบทานของที่ดีต่อสุขภาพของเขามากกว่ากันคะ
Food relationship ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เราเกิด และส่งผลไปจนถึงวันสุดท้าย ดังนั้น คุณอยากมีสุขภาพแบบไหน เรียนรู้ที่จะประนีประนอมกับ food relationship ของตัวเองที่มันพาให้สุขภาพแย่ลง เรียนรู้ที่จะสร้าง food relationship ใหม่ๆ กับอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และถ้าคุณอยากให้ลูก ให้หลานมีสุขภาพแบบไหนจนเขาโตเป็นผู้ใหญ่ คุณเลือกได้ เพราะคุณคือคนสร้างภาพจำ สร้างความรู้สึก สร้าง memories ที่เขามีต่ออาหารได้ ในวันที่เขาเศร้า เครียด เสียใจ เขาอาจจะไม่ถลาไปตู้เย็นสวาปามไอติมที่ทำให้เขาหลอดเลือดหัวใจอุดตันก็ได้ หรือวันที่เขามีความสุขจนล้นปรี่และอยากให้คุณอยู่ร่วมฉลองความสุขนี้ด้วย เขาอาจไม่ฉลองแบบไม่ยั้งกับเค้กที่ทำให้เขาเบาหวานขึ้นก็ได้
สำหรับวาว ความทรงจำเกี่ยวกับอาหารที่วาวจำได้และนึกขอบคุณที่บ้านคือ วาว (น่าจะประมาณ 4- 5 ขวบ) นั่งทานข้าวบนโต๊ะอาหารที่บ้าน เมนูมีผัดผัก พ่อวาวตักผักทาน มีเสียงเคี้ยวกร๊วบๆ แล้วแม่ก็ยิ้ม หันมาพูดกับวาวว่า “วาวดูสิ พ่อทานผักเคี้ยวกร๊วบๆ วาวอยากทานแบบพ่อมั้ยลูก” แล้วก็ตักผักมาใส่จาน วาวเลยลองทานบ้าง ตักใส่ปากเคี้ยว มีเสียงกร๊วบๆ แบบพ่อ แล้วเราสามคนก็หัวเราะกัน
ปัจจุบันวาวโตขึ้นมา เป็นผู้ชื่นชอบการทานผักในทุกมื้อ แต่เรื่องราวอาจจะเปลี่ยนไป ถ้าวันนั้นแม่หันมาฟาดและบังคับให้วาวกินผัก จริงมั้ยคะ555
วาว วรงค์พร แย้มประเสริฐ
Certified PN Level 1
———————————————————
**** โบนัสพิเศษสำหรับใครอ่านจบ แสดงว่ามีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเองจริงๆ วันนี้ Fit-D มีโปรโมชั่นพิเศษให้ค่ะ กับการเทรนออนไลน์ 1on1 ที่ดูแลให้คำปรึกษาเรื่องอาหารและออกแบบโปรแกรมออกกำลังกายเฉพาะบุคคลค่ะ
จากราคาปกติ
ราย 1 เดือน ราคา 3,500 บาท
ราย 3 เดือน ราคา 9,000 บาท
พิเศษ* ถ้าบอกว่ามาจากโพสต์นี้ รับส่วนลดเพิ่มทันทีสำหรับราย 3 เดือน อีก 500 บาท เหลือเพียง 8,500 บาทค่ะ
สมัครวันนี้ได้เลย ถ้าทำตามแล้วไม่เห็นผลยินดีคืนเงิน!