การมีเป้าหมายในการวิ่งให้กับตัวเอง โดยไม่ได้เปรียบเทียบกับใคร เป็นเป้าหมายที่เหมาะกับพื้นฐาน เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ผมว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันจะทำให้เราวางแผนการวิ่งในแต่ละวันได้ง่ายขึ้น เราจะรู้สึกสนุกกับการวิ่งได้มากขึ้น ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าเราจะทำแบบคนนั้นได้มั้ย หรือจะวิ่งได้เร็วแบบคนนี้หรือเปล่า
เช่นตัวผมเองเคยเป็นนักวิ่งระยะสั้น (sprinter) มาตั้งแต่สมัยเรียนม.ต้น จนถึงมหาลัย ส่วนมากก็วิ่งอยู่แค่ 100, 200 หรือ 400 เมตร แต่เมื่อต้องเปลี่ยนมาวิ่งระยะไกล 10k, 21k หรือจะเป็น marathoner ก็ใช่ว่าผมจะวิ่งได้ดีตั้งแต่เริ่ม เพราะมันมีหลายปัจจัยที่แตกต่างกันระหว่าง sprinter กับ marathoner
1. การซ้อมที่แตกต่างกันทั้งในเรื่องของระบบพลังงานที่ใช้ (energy system) และระยะทางสะสม (mileage)
2. ท่าทางการวิ่งที่แตกต่างกัน ช่วงก้าวที่เหมาะสมกับระยะ (stride length) ความถี่ก้าวที่พอดีกับความเร็ว (cadence) และการจัดระเบียบร่างกาย
3. เซสชั่นของการฝึกเวทเทรนนิ่ง (strength training) มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน การฝึกความแข็งแรงเพื่อสร้างพลังให้กับกล้ามเนื้อ (power) และการฝึกความทนทานให้กับกล้ามเนื้อ (endurance)
4. รูปร่างที่แตกต่างกัน ซึ่งมาจากการฝึกเวทเทรนนิ่ง และการใช้ระบบพลังงานในการวิ่ง เราจะเห็นได้ว่า sprinter จะมีมัดกล้ามเนื้อที่ใหญ่กว่า marathoner แบบชัดเจน
เพราะฉะนั้นหาเป้าหมายของตัวเองให้เจอ แล้วเราจะวิ่งได้สม่ำเสมอและสนุกไปกับมัน
------------------------------
สำหรับนักวิ่งที่ต้องการคำแนะนำหรือคำปรึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมเวทเทรนนิ่ง (strength training for runners) Fit-D เรามีบริการ personal trainer ทั้งรูปแบบ on-site ที่ Fit-D Space ทั้ง 3 สาขา (สาขาพญาไท, สาขารัชดา และสาขาสุขุมวิท39) และ online ผ่านช่องทาง
Fit-D.com หากสนใจสามารถ inbox เข้ามาสอบถามข้อมูลได้ครับ
.
โค้ชจอม
IG : jom_fitd
B.SC. Sport Science (Sport Technology), Chulalongkorn University
M.Sc. Sport Science (Sport Management), Chulalongkorn University
Certified Personal Trainer, American Council on Exercise (ACE)
Certificate of Attendance, Certified Strength and Conditioning Specialist (FIT)